•
วนอุทยานถ้ำแก้วโกมล
เดิมเรียกชื่อถ้ำผลึกแคลไซต์แม่ลาน้อย ตั้งอยู่บริเวณเขาดอยถ้ำ
หมู่ที่ 14 บ้านห้วยมะไฟ ต.แม่ลาน้อย อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน
ในเขตประทานบัตรเหมืองแร่ฟลูออไรต์ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด
พี. วี ซัพพรายส์ (ไทยแลนด์) อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
ป่าแม่ยวมฝั่งซ้าย แผนที่ระวาง มาตราส่วน 1 : 50,000 ชุด
L 7071 ระวาง 4545 – 3 พิกัด 391620341
• ถ้ำ แก้วโกมล ได้ถูกค้นพบโดยวิศวกรเหมืองแร่ ประจำสำนักงานทรัพยากรธรณี จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2536 สภาพภายในถ้ำเต็มไปด้วยผลึกแคลไซต์ (Calcite) รอบด้านทั้งบริเวณผนัง พื้น และเพดานของถ้ำ ผลึกมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันมากมายหลายแบบจับตัวกันมองดูคล้ายปะการัง ดอกกระหล่ำ เกล็ดน้ำแข็ง ดอกเข็ม และโคมไฟเพดาน มีสีขาวใส เหลือง แดง และน้ำตาล มีความสวยงามมากตามธรรมชาติ มีคุณค่าและความสำคัญ ต่อการศึกษาค้นคว้าวิจัย
• ในปี พ.ศ.2538 กรมทรัพยากรธรณี ได้ทำการพัฒนาด้านความสะดวกและความปลอดภัยในการเข้าเที่ยวชมถ้ำ ได้ดำเนินการกันเขตพื้นที่บริเวณรอบถ้ำในเขตรัศมี 200 เมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 51 ไร่ 1 งาน 04 ตารางวา ออกจากพื้นที่ประทานบัตร โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ตรี แห่ง พ.ร.บ เหมืองแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ให้พื้นที่กลับไปมีสภาพเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ภายใต้การกำกับดูแลของกรมป่าไม้ โดยจัดตั้งเป็นวนอุทยานแม่ลาน้อย ตามความในมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507
• ในปี พ.ศ.2543 ได้มีการส่งมอบและรับมอบถ้ำผลึกแคลไซต์แม่ลาน้อยระหว่างกรมทรัพยากรธรณี กับกรมป่าไม้โดยผู้ว่าราชการจังแม่ฮ่องสอน เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2543 ณ วนอุทยานถ้ำแม่ลาน้อย
• ลักษณะเด่นของถ้ำแก้วโกมล คือเป็นโพรงลึกลงไปในแนวดิ่งถึง 30 เมตร มีทางเดินและทางออกทางเดียวประมาณ 120 เมตร กล่าวกันว่าถ้ำแก้วโกมลแห่งนี้เป็นถ้ำผลึกแคลไซด์ที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย และพบเป็นแหล่งที่ 2 ในทวีปเอเชีย โดยแห่งแรกอยู่ที่ประเทศจีน
• การเกิดผลึกแคลไซด์ หรือแคลเซียมคาร์บอเนต เกิดจากกระบวนการกลั่นตัวตกผลึก (Crystallizaton) ของไอน้ำร้อนที่ละลายสารแคลเซียมในถ้ำจนอิ่มตัวแล้วเกิดเป็นผลึกจับตามผนัง ถ้ำ ชื่อว่าถ้ำแก้วโกมลเดิมเป็นทางน้ำร้อนใต้ดิน เมื่อกระแสน้ำร้อนละลายสารแคลเซียมที่ฟุ้งกระจายอยู่ในโพรงถ้ำภายใต้อุณภูมิ ที่เหมาะสมจึงเกิดเป้นผลึกแร่บริสุทธ์และอ่อนนุ่มราวหิมะ ซึ่งพบเห็นได้ยากมาก ภายในถ้ำแก้วแบ่งออกเป็นโถงถ้ำทั้งหมด 5 ห้อง เมื่อผ่านทางเข้าปากถ้ำ คุณสามารถเดินชมถ้ำแก้วไปตามทางเดินที่เชื่อมถึงกันตลอด โถงถ้ำที่น่าสนใจได้แก่ห้องที่ 4 ซึ่งมีผลึกแคลไซด์ บริสุทธิ์ที่มีรูปร่างคล้ายปะการัง ผลึกรูปเข็มและเกร็ดน้ำแข็ง และห้องที่ 5 ซึ่งเป็นห้องที่อูยู่ลึกที่สุดมีความสวยงามมากที่สุด มีผลึกแคลไซด์ที่สมบูรณ์มากตามพื้นและผนัง ทั้งผลึกรูปเข็มและผลึกรูปปะการังสีขาว อย่างไรก็ดี เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่มีความเปราะบาง คุณจึงควรระวังไม่ให้ชนกับผลึกแคลไซด์ภายในถ้ำขณะเดินชม เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
• ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 สมเด็จพระนางจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร ถ้ำแม่ลาน้อย และได้พระราชทานนามถ้ำแม่ลาน้อยเป็นชื่อ “ ถ้ำแก้วโกมล “ และได้พระราชทานนามชื่อห้องในถ้ำแก้วโกมลซึ่งอยู่ภายในถ้ำเป็นชั้นๆจำนวน 5 ชั้นดังนี้
• ชั้นที่หนึ่ง นามห้อง พระทัยธาร
• ชั้นที่สอง นามห้อง วิมานเมฆ
• ชั้นที่สาม นามห้อง เฉกหิมพานต์
• ชั้นที่สี่ นามห้อง ม่านผาแก้ว
• ชั้นที่ห้า นามห้อง เพริดแพร้วมณีบุปผา
• ช่วงเวลาในการเี่ที่ยวชม ถ้ำแห่งนีสามารถเที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนตุลาคม-เมษายน เพราะเป็นช่วงที่น้ำในถ้ำแห้งสนิท ไม่เปียกชื้น รวมถึงไม่มีหยดน้ำจากเพดานถ้ำให้รำคาญ และเนื่องจากถ้ำแก้วเป็นโพรงถ้ำที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน อากาศถ่ายเทไม่สะดวก นักท่องเที่ยวที่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงหรือมีโรคประจำตัวจึงไม่ควรเข้าไปในถ้ำ หรือหากต้องการเข้าไปชมภายในถ้ำควรแจ้งเจ้าหน้าที่ที่พาชมก่อนเพื่อความปลอดภัย
• ปัจจุบันวนอุทยานแม่ลาน้อยได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ วนอุทยานถ้ำแก้วโกมล” ได้รับการพัฒนา ปรับปรุงและอยู่ในความดูแลของสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
การเดินทาง จากถนนใหญ่ทางหลวงหมายเลข 108 ให้คุณเลี้ยวไปตามถนน รพช. ทางไปบ้านทุ่งสารภีข้างโรงพยาบาลแม่ลาน้อย ขับไปตามป้ายบอกทางขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร
• ถ้ำ แก้วโกมล ได้ถูกค้นพบโดยวิศวกรเหมืองแร่ ประจำสำนักงานทรัพยากรธรณี จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2536 สภาพภายในถ้ำเต็มไปด้วยผลึกแคลไซต์ (Calcite) รอบด้านทั้งบริเวณผนัง พื้น และเพดานของถ้ำ ผลึกมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันมากมายหลายแบบจับตัวกันมองดูคล้ายปะการัง ดอกกระหล่ำ เกล็ดน้ำแข็ง ดอกเข็ม และโคมไฟเพดาน มีสีขาวใส เหลือง แดง และน้ำตาล มีความสวยงามมากตามธรรมชาติ มีคุณค่าและความสำคัญ ต่อการศึกษาค้นคว้าวิจัย
• ในปี พ.ศ.2538 กรมทรัพยากรธรณี ได้ทำการพัฒนาด้านความสะดวกและความปลอดภัยในการเข้าเที่ยวชมถ้ำ ได้ดำเนินการกันเขตพื้นที่บริเวณรอบถ้ำในเขตรัศมี 200 เมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 51 ไร่ 1 งาน 04 ตารางวา ออกจากพื้นที่ประทานบัตร โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ตรี แห่ง พ.ร.บ เหมืองแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ให้พื้นที่กลับไปมีสภาพเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ภายใต้การกำกับดูแลของกรมป่าไม้ โดยจัดตั้งเป็นวนอุทยานแม่ลาน้อย ตามความในมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507
• ในปี พ.ศ.2543 ได้มีการส่งมอบและรับมอบถ้ำผลึกแคลไซต์แม่ลาน้อยระหว่างกรมทรัพยากรธรณี กับกรมป่าไม้โดยผู้ว่าราชการจังแม่ฮ่องสอน เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2543 ณ วนอุทยานถ้ำแม่ลาน้อย
• ลักษณะเด่นของถ้ำแก้วโกมล คือเป็นโพรงลึกลงไปในแนวดิ่งถึง 30 เมตร มีทางเดินและทางออกทางเดียวประมาณ 120 เมตร กล่าวกันว่าถ้ำแก้วโกมลแห่งนี้เป็นถ้ำผลึกแคลไซด์ที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย และพบเป็นแหล่งที่ 2 ในทวีปเอเชีย โดยแห่งแรกอยู่ที่ประเทศจีน
• การเกิดผลึกแคลไซด์ หรือแคลเซียมคาร์บอเนต เกิดจากกระบวนการกลั่นตัวตกผลึก (Crystallizaton) ของไอน้ำร้อนที่ละลายสารแคลเซียมในถ้ำจนอิ่มตัวแล้วเกิดเป็นผลึกจับตามผนัง ถ้ำ ชื่อว่าถ้ำแก้วโกมลเดิมเป็นทางน้ำร้อนใต้ดิน เมื่อกระแสน้ำร้อนละลายสารแคลเซียมที่ฟุ้งกระจายอยู่ในโพรงถ้ำภายใต้อุณภูมิ ที่เหมาะสมจึงเกิดเป้นผลึกแร่บริสุทธ์และอ่อนนุ่มราวหิมะ ซึ่งพบเห็นได้ยากมาก ภายในถ้ำแก้วแบ่งออกเป็นโถงถ้ำทั้งหมด 5 ห้อง เมื่อผ่านทางเข้าปากถ้ำ คุณสามารถเดินชมถ้ำแก้วไปตามทางเดินที่เชื่อมถึงกันตลอด โถงถ้ำที่น่าสนใจได้แก่ห้องที่ 4 ซึ่งมีผลึกแคลไซด์ บริสุทธิ์ที่มีรูปร่างคล้ายปะการัง ผลึกรูปเข็มและเกร็ดน้ำแข็ง และห้องที่ 5 ซึ่งเป็นห้องที่อูยู่ลึกที่สุดมีความสวยงามมากที่สุด มีผลึกแคลไซด์ที่สมบูรณ์มากตามพื้นและผนัง ทั้งผลึกรูปเข็มและผลึกรูปปะการังสีขาว อย่างไรก็ดี เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่มีความเปราะบาง คุณจึงควรระวังไม่ให้ชนกับผลึกแคลไซด์ภายในถ้ำขณะเดินชม เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
• ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 สมเด็จพระนางจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร ถ้ำแม่ลาน้อย และได้พระราชทานนามถ้ำแม่ลาน้อยเป็นชื่อ “ ถ้ำแก้วโกมล “ และได้พระราชทานนามชื่อห้องในถ้ำแก้วโกมลซึ่งอยู่ภายในถ้ำเป็นชั้นๆจำนวน 5 ชั้นดังนี้
• ชั้นที่หนึ่ง นามห้อง พระทัยธาร
• ชั้นที่สอง นามห้อง วิมานเมฆ
• ชั้นที่สาม นามห้อง เฉกหิมพานต์
• ชั้นที่สี่ นามห้อง ม่านผาแก้ว
• ชั้นที่ห้า นามห้อง เพริดแพร้วมณีบุปผา
• ช่วงเวลาในการเี่ที่ยวชม ถ้ำแห่งนีสามารถเที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนตุลาคม-เมษายน เพราะเป็นช่วงที่น้ำในถ้ำแห้งสนิท ไม่เปียกชื้น รวมถึงไม่มีหยดน้ำจากเพดานถ้ำให้รำคาญ และเนื่องจากถ้ำแก้วเป็นโพรงถ้ำที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน อากาศถ่ายเทไม่สะดวก นักท่องเที่ยวที่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงหรือมีโรคประจำตัวจึงไม่ควรเข้าไปในถ้ำ หรือหากต้องการเข้าไปชมภายในถ้ำควรแจ้งเจ้าหน้าที่ที่พาชมก่อนเพื่อความปลอดภัย
• ปัจจุบันวนอุทยานแม่ลาน้อยได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ วนอุทยานถ้ำแก้วโกมล” ได้รับการพัฒนา ปรับปรุงและอยู่ในความดูแลของสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
การเดินทาง จากถนนใหญ่ทางหลวงหมายเลข 108 ให้คุณเลี้ยวไปตามถนน รพช. ทางไปบ้านทุ่งสารภีข้างโรงพยาบาลแม่ลาน้อย ขับไปตามป้ายบอกทางขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร
•
สำหรับรูป ถ้ำแก้วโกมล เป็นรูปที่รวบรวมจากทริปทัวร์หลายๆทริปรวมกันครับ
ดูรูปใหญ่ ให้คลิ๊กที่รูปนะครับ
(รูปเหล่านี้ถ่ายเมื่อหลายปีแล้วครับ ซึ่งตอนเมื่อก่อนยังไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวกันและยังไม่ห้ามเรื่องการถ่ายรูป แต่ปัจจุบันเขาห้ามถ่ายรูปภายในถ้ำแล้วครับ)
(รูปเหล่านี้ถ่ายเมื่อหลายปีแล้วครับ ซึ่งตอนเมื่อก่อนยังไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวกันและยังไม่ห้ามเรื่องการถ่ายรูป แต่ปัจจุบันเขาห้ามถ่ายรูปภายในถ้ำแล้วครับ)